วางแผนลดหย่อนภาษี ไม่ได้มีดีแค่ประหยัดเงินในกระเป๋า

วางแผนลดหย่อนภาษี ไม่ได้มีดีแค่ประหยัดเงินในกระเป๋า

ช่วงสิ้นปี นอกจากจะเริ่มวางแผนเดินทางท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมในช่วงวันหยุดยาว การวางแผนลดหย่อนภาษี ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะถ้าเราวางแผนบริหารจัดการภาษีอย่างเป็นระบบแล้ว นอกจากจะประหยัดเงินในกระเป๋าได้ ยังเป็นการช่วยให้เราสามารถวางแผนการเงินอย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงวัย และสามารถวางแผนชีวิตได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งยังสร้างวินัยในการใช้เงินในระยะยาวให้กับเราอีกด้วย

เมื่อเราเริ่มวางแผนที่จะลดหย่อนภาษี ก็ต้องรู้ เครื่องมือ ที่จะช่วยให้สามารถลดหย่อนภาษีได้กันก่อน เริ่มต้นง่ายๆ จากการโฟกัสกับเป้าหมายของตัวเอง ไลฟ์สไตล์การทำงานว่าเราคือ มนุษย์เงินเดือน หรือฟรีแลนซ์ ซึ่งมีความต่างในเรื่องของรายได้ และสวัสดิการ จากนั้นเริ่มต้นวางแผนบริหารจัดการภาษีให้เหมาะสมกับแต่ละคน โดยเริ่มจาก

  1. ฐานรายได้ ณ ปัจจุบันเป็นอย่างไร?
  2. ในอนาคตเราต้องการใช้เงินเพื่อใคร? เช่น ต้องการทุนประกอบธุรกิจส่วนตัว มีเงินออมเพื่อบิดา-มารดา-บุตร ต้องการมีบ้านเป็นของตัวเอง เพื่อเตรียมเงินไว้ดูแลตัวเองตอนเกษียณ ฯลฯ
  3. จำนวนเงินที่ต้องการในอนาคต
​​วางแผนลดหย่อนภาษี ไม่ได้มีดีแค่ประหยัดเงินในกระเป๋า

เครื่องมือด้านการออมเพื่อช่วยลดหย่อนภาษี

พอทราบความต้องการคร่าวๆ ของตัวเองแล้ว ก็เริ่มมองหาเครื่องมือที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้เราวางแผนได้เพิ่มเติมจากค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว คือค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน

ประกันชีวิต เป็นหนึ่งในเครื่องมือในกลุ่มนี้ ที่สามารถเลือกได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น

  1. ประกันชีวิตแบบทั่วไป ได้แก่ ประกันชีวิต, ประกันสะสมทรัพย์, ซึ่งเบี้ยประกันสามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง รวมสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
  2. ประกันชีวิตแบบบำนาญ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มค่าลดหย่อนประกันชีวิตและการลงทุนในการวางแผนเกษียณ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับ กองทุน RMF กองทุน SSF กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท นอกจากนี้หากยังใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป ยังไม่เต็ม 100,000 บาทแรก สามารถใช้เบี้ยประกันบำนาญไปรวมสิทธิ์ลดหย่อนในส่วนแรกได้เช่นกัน

การวางแผนลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิตมีความเสี่ยงต่ำ และกรมธรรม์บางประเภทยังได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนอีกด้วย นับเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งสำหรับการวางแผนเพื่อการลดหย่อนภาษีไปพร้อมกับเป้าหมายทางการเงิน

​​วางแผนลดหย่อนภาษี ไม่ได้มีดีแค่ประหยัดเงินในกระเป๋า

เลือกซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษีต้องพิจารณาอะไรบ้าง?

สำหรับกลุ่มมนุษย์เงินเดือน สามารถเริ่มวางแผนได้ตั้งแต่เริ่มทำงาน มีบุตร จนถึงการวางแผนเพื่อใช้หลังเกษียณ โดยต้องคำนึงถึง

  1. สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น การคุ้มครองชีวิต, ได้รับเงินคืนในแต่ละงวดระหว่างปีกรมธรรม์ หรือเมื่อครบระยะเวลาตามสัญญากรมธรรม์
  2. ค่าเบี้ยประกันภัยในแต่ละงวด โดยทั่วไปสามารถเลือกวิธีการชำระได้ทั้งแบบรายเดือน หรือรายปี
  3. ระยะเวลาความคุ้มครองและชำระเบี้ยประกันภัย สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ ระยะเวลาเอาประกันภัยสั้นที่สุดสำหรับการลดหย่อนภาษีคือ ระยะเวลา 10 ปี ปัจจุบันจึงมีกรมธรรม์ประเภท ระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 5 ปี (10/5), ระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 1 ปี (10/1) ฯลฯ ออกมาให้เลือก ผู้ซื้อประกันชีวิตต้องส่งเบี้ยประกันภัยตามจำนวนที่ระบุในกรมธรรม์ จากนั้นสามารถหยุดส่งเบี้ยประกันภัยโดยยังได้รับผลประโยชน์ความคุ้มครอง และเงินคืนตามเงื่อนไขที่กำหนดจนครบสัญญา รวมระยะเวลา 10 ปี เป็นต้น

เทคนิคการเลือกแบบประกันสำหรับกลุ่มอาชีพอิสระ

ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ ทริกที่แนะนำคือการเลือกประกันชีวิตที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล และช่วงเวลาที่ขาดรายได้ เมื่อต้องหยุดพักรักษาตัว เพราะการทำงานฟรีแลนซ์เมื่อเจ็บป่วยนั้นต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเอง ไม่มีสวัสดิการจากบริษัทแบบเดียวกับมนุษย์เงินเดือน ดังนั้นเมื่อจะวางแผนบริหารจัดการภาษีด้วยประกันชีวิต จึงควรพิจารณาเลือกแบบประกันชีวิตที่ปิดจุดอ่อนของอาชีพ

นอกจากเครื่องมือที่กล่าวไปแล้ว ยังมีค่าลดหย่อนภาษีประเภทอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มเงินบริจาค ค่าลดหย่อนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงค่าลดหย่อนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐสนับสนุน ก็สามารถเป็นส่วนเสริมได้

การวางแผนลดหย่อนภาษีด้วยการทำประกันชีวิต นอกจากจะช่วยให้ลดภาระทางภาษีแล้ว ช่วยสร้างวินัยทางการเงิน แล้วยังมีอีกเป้าหมายที่สำคัญ คือการสร้างความคุ้มครองและดูแลตัวเองและคนที่รักให้อุ่นใจในทุกช่วงเวลานั่นเอง

วางแผนลดหย่อนภาษี ไม่ได้มีดีแค่ประหยัดเงินในกระเป๋า