สังคมยุคปัจจุบัน "ภาระและหน้าที่" มักนำหน้า "สุขภาพ" ของเราเสมอ และเรื่องที่หลายคนมักละเลยมากที่สุด นั่นก็คือ "เรื่องกิน" บ้างก็กินแค่ให้อิ่ม หรือ บ้างก็กินตามใจปาก แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลในระยะยาวที่ตามมา
 

ดังนั้นประโยคที่ว่า "กินอะไรก็ได้อย่างนั้น" ยังคงใช้ได้เสมอ ยกตัวอย่างเคล็ดลับของชาวญี่ปุ่น ซึ่งติดอันดับคนที่อายุยืนที่สุดในโลกหลายคน คือ “กินดี อยู่ดี มีความสุข” เพราะนอกจากกรรมพันธุ์ การใช้ชีวิต และการออกกำลังกายแล้ว ที่สำคัญพวกเขาจะเน้นกินอาหารที่มีประโยชน์เป็นหลัก
 

พอจะเห็นภาพกันบ้างหรือยังว่า "การกิน" มันสำคัญขนาดไหน และถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากสุขภาพดี นี่คือแผนปฏิวัติการกินแบบง่าย ๆ ที่เราอยากให้คุณต้องหยุดฟัง มาเริ่มจาก "อย่าคิดว่ากินอะไรก็ได้แค่อิ่มเป็นพอ" เพราะอาหารที่ไว้ใจ หรือที่คิดว่ามันดี บางทีอาจทำร้ายเราได้อย่างไม่คาดฝัน!!
 

Change Eating Change Life
 

1. รู้จักอาหารที่ไว้ใจ สุดท้ายร้ายที่สุด

อาหารกึ่งสำเร็จรูป :

อาหารเหล่านี้ มีทั้งเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์ รา เชื้อจุลินทรีย์ ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร ถ้ายังกินเป็นประจำทุกวันโรคถามหาแน่นอน

อาหารทอด ปิ้ง ย่าง :

มี "สารอะคริลาไมด์" ที่อยู่ในส่วนที่ไหม้เกรียม ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง แนะนำก่อนกินให้ตัดส่วนที่เกรียมๆ ออกก่อนรับประทาน

โยเกิร์ตผสมผลไม้ :

หลายคนกินเพื่อลดความอ้วน ถ้าเป็นรสธรรมชาตินั้นโอเค แต่ถ้าเป็นรสผลไม้คงไม่ช่วยแน่ๆ เพราะว่าน้ำตาลและความหวาน ทำให้คุณเสี่ยงโรคอ้วนและเบาหวาน

กะหล่ำปลี :

ถ้ากินแบบดิบๆ จะได้รับสารพิษกอยโตรเจน สาเหตุของโรคคอพอก ฉะนั้นควรกินแบบต้มจะปลอดภัยกว่า

ถั่วงอก :

สารพิษตามธรรมชาติที่ชื่อไฟเตท สารนี้จะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุของร่างกาย ทำให้สุขภาพของเราเสื่อมโทรม ทางที่ดีควรนำไปทำให้สุกก่อนกิน

 

2. อาหารสุขภาพชนิดไหนบ้าง ที่ควรซื้อมาตุน

ข้าวไม่ขัดขาว :

จะมีส่วนของจมูก และเยื่อหุ้มเมล็ดที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง ข้าวสาลี

เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ :

เลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน เพื่อลดการเติมไขมันส่วนเกินให้กับร่างกาย ควรทาน แซลมอน อกไก่ เนื้อปลาน้ำจืด และเนื้อสันใน

ผักใบเขียว :

เต็มไปด้วยวิตามินเอ บี ซี และแร่ธาตุ ช่วยให้แข็งแรง และรักษาระบบเกลือแร่ในร่างกายให้สมดุล เช่น คะน้า ใบยอ กวางตุ้ง ผักโขม และผักกาดแก้ว

มะเขือต่างๆ :

ช่วยขับเสมหะ แก้ไข้ และช่วยย่อยอาหาร เช่น มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือเทศ และมะเขือยาว

ถั่วเปลือกแข็ง/เมล็ดพืช :

อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ กินวันละ 1 กำมือจะช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยป้องกันโรคหัวใจ

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี :

มีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูง และลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง เช่น ลูกหว้า มะขามป้อม เชอร์รีไทย สตรอว์เบอร์รี บูลเบอร์รี

3. พฤติกรรมการกินแบบผิดๆ ที่ห้ามทำ 

อดข้าว :

บางคนไม่กินข้าวเช้า เพราะตื่นสาย หรืออยากลดหุ่น นอกจากจะได้สารอาหารไม่ครบถ้วน ยังทำให้อยากกินมากกว่าเดิมอีกด้วย

ไม่ใส่ใจปริมาณ :

แม้จะเลือกกินอาหารสุขภาพ แต่ถ้ากินเยอะเกินไปก็ทำให้อ้วนได้ ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม แค่ให้เพียงพอต่อการนำไปใช้งานของร่างกาย

รีบกินเกินไป :

ถ้าเคี้ยวไม่ละเอียด อาหารอาจย่อยไม่หมดกลายเป็นของเสียไปสู่ลำไส้ ทำให้เป็นโรคมากมาย เช่น ลำไส้อักเสบ

กินปุ๊บนอนปั๊ป :

จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี และเสี่ยงเป็นกรดไหลย้อน ทางที่ดีที่สุดคือรอให้ครบ 3 ชั่วโมงก่อน แล้วค่อยนอน

 

4. เวลาที่ดีที่สุดในการกินอาหาร

มื้อเช้า (07.00 - 09.00 น.) 

ช่วงนี้กระเพาะจะทำงานดีที่สุด หากกินเวลานี้ จะช่วยให้กระเพาะแข็งแรง และขับถ่ายเป็นปกติ

มื้อกลางวัน (12.30 น.) 

ร่างกายจำเป็นต้องได้รับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เนื้อปลา และเน้นกินข้าวที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้องพร้อมผลไม้

มื้อเย็น (ก่อน 20.00 น.) 

หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพราะทำให้อ้วนลงพุงได้เนื่องจากระบบย่อยอาหารจะทำงานในระดับต่ำ

 

5. เปลี่ยนสเต็ปเคี้ยว เพื่อสุขภาพ

เคี้ยว 30 ครั้งต่อคำ : 

ช่วยให้เหงือกแข็งแรง และสมองยังหลั่งสารที่ทำให้อารมณ์ดีอีกด้วย

เคี้ยว 60 ครั้งต่อคำ : 

ถ้ากินผักที่มีกากใยมากๆ จะทำให้กากใยทำงานได้เต็มที่และย่อยง่าย ช่วยลดอาการท้องผูก

เคี้ยว 80 ครั้งต่อคำ : 

ช่วยกระตุ้นต่อมน้ำลายให้หลั่งสารช่วยพัฒนาสมองและดีต่อความจำ

เคี้ยว 100 ครั้งต่อคำ : 

ทำให้เรากินน้อยแต่อิ่มเร็ว และช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ

เคี้ยว 200 ครั้งต่อคำ : 

จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว

 

จากข้อมูลที่เรานำเสนอจึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "การกิน" ที่เรามองเป็นเรื่องง่ายนั้น กลับกลายเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม ถ้าเราเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการกินตั้งแต่วันนี้ อนาคตที่สดใสก็รอเราอยู่ไม่ไกล เพราะเมื่อเรามีสุขภาพที่ดี เราก็จะมีกำลังทำในสิ่งที่อยากทำ และสิ่งนั้นก็จะนำมาซึ่ง “ความสุข” ที่ทุกคนต้องการ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง