Happy Talk
Life Spiration
Live And Learn
Eco-Living
Family In Love
Eat Am Are
Get Fit
Healthy Guide
Money Session
Live Offline
Happy Plus
Happy Life Club
BLA Product
![article image](/emagazinehappylife/Picture/GetIssuePicture/?img=Uploads/Issue/Column/2020/AW_FAM_IN_LOVE_2.jpg)
ห่างวัย สายสัมพันธ์ไม่ห่างเลย
โดย เมริษา ยอดมณฑป (นักจิตวิทยา เพจตามใจนักจิตวิทยา)
ปัจจุบันนี้ ใครหลาย ๆ คนอาจจะอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งอยู่ในวัยเกษียณ วัยนี้ตามพัฒนาการชีวิต จะเป็นวัยที่ต้องการให้ลูกหลานเห็นคุณค่า ในขณะที่ตัวเราอยู่ในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นวัยแห่งการทำตามความฝัน และสร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อความมั่นคงในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นบางครอบครัวอาจจะมีคนสามวัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เช่น มีพ่อแม่ของตัวเอง ตัวเอง และลูก แต่วัยที่ห่างกัน ไม่ใช่อุปสรรคในการสร้างสายสัมพันธ์ หากเราเปิดใจ และทำความเข้าใจคนแต่ละวัยในบ้านของเรา
![](https://www.bangkoklife.com/emagazinehappylife//Picture/GetIssuePicture/?img=Uploads/Content/2020/31CFF18F6CEF4102853B7A8FA1BE633A..jpg)
ถ้าเทียบพ่อแม่วัยเกษียณกับลูกเรา พ่อแม่กำลังจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่ได้หมายถึงผิวกายกับสีผม แต่หมายถึงสมรรถภาพทางกาย เขาจะค่อยๆ เคลื่อนไหวได้ช้าลง ปวดเมื่อยง่ายขึ้น บางคนมียาที่ต้องกินสารพัด แค่ฟังชื่อยา และจำวันที่หมอนัด เรายังรำคาญเอง ไม่ต้องถามถึงเจ้าตัว เขารำคาญมากกว่าเราหลายเท่า
ในทางกลับกัน พ่อแม่วัยเกษียณกลับเป็นวัยที่ต้องการการมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนทำ และสิ่งที่ตนเป็นจากลูกหลาน ดังนั้นถ้าหากเราบอกให้เขาอยู่เฉย ๆ อย่าทำอะไรมาก เขาจะรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ๆ แต่ถ้าเราบอกให้เขาช่วยทำนู่นทำนี่ให้หน่อย หรือ ชวนเขามาช่วยงาน ออกความเห็นอะไรบ้าง เขาจะรู้สึกดี กระปรี้กระเปร่าทันใด เพราะตัวเขาเป็นที่ต้องการของลูกหลาน ทำให้เขาได้รับการมองเห็นคุณค่านั่นเอง
สิ่งที่ลูก ๆ ควรทำความเข้าใจพ่อแม่วัยเกษียณ มีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ ๆ ประกอบด้วย
ร่างกายของพ่อแม่เราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ความจำเลอะเลือน” ถามเรื่องซ้ำ ๆ เล่าเรื่องเดิม ๆ
“หูพาลหาเรื่อง” อาการหูตึงที่ทำให้สื่อสารกันไม่รู้เรื่องสักทีกับลูกหลาน
“กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง กระดูกเริ่มพรุน” พาลให้เดินเหินไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม เคลื่อนไหวทีก็ปวดเมื่อยตามตัวไปหมด ซ้ำร้ายยังต้องเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าเดิมอีก
เมื่อร่างกายไม่เหมือนเดิม อิสระที่เคยได้รับก็ถูกจำกัดลง เนื่องจากต้องพึ่งพาคนอื่นมากขึ้น พ่อแม่วัยเกษียณจึงรู้สึกแย่กับตัวเอง และมองว่าตัวเองเป็นภาระได้ง่ายมาก จิตใจจึงได้รับผลกระทบตามมา ลูก ๆ อย่างเราสามารถช่วยพ่อแม่ได้ด้วยการรับฟัง และไม่โกรธเมื่อพ่อแม่ถามหรือเล่าเรื่องเดิม ๆ ให้เราฟัง
พ่อแม่เราจะยึดติดกับข้าวของเครื่องใช้มากขึ้น และกลัวการเปลี่ยนแปลง
ข้าวของเครื่องใช้เก่า ๆ ก็คงเหมือนกับคน ๆ หนึ่งที่ผ่านชีวิตมาพร้อมกันกับเขา ที่สำคัญบ้านที่มีข้าวของเครื่องใช้จากยุคสมัยที่เขาเคยอยู่ ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีพื้นที่ที่เขาอบอุ่นใจและปลอดภัย ดังนั้น ค่อยๆ คุยกับเขา อย่าหักดิบโดยเอาไปทิ้งเลย พ่อแม่อาจใจสลายได้ ให้เขาได้มาเลือก ถ้าอันไหนเกินเยียวยา ถ่ายรูปแล้วอัดเป็นอัลบั้มให้เขาไว้ดูคลายความคิดถึง แต่ถ้าอันไหนทิ้งไม่ได้จริง ๆ ลูกก็ต้องยอมรับให้ได้
ถ้าลูกคนไหนอยู่บ้านพ่อแม่ เราควรเคารพในการตัดสินใจและแนวทางในการจัดบ้านของพ่อแม่ แต่ถ้าลูกคนไหนพาพ่อแม่มาอยู่ด้วย เราสามารถกำหนดกติการ่วมกัน พ่อแม่สามารถนำของแบบไหนมาเก็บได้บ้าง และห้องของพ่อแม่ แต่ในกรณีที่ข้าวของเครื่องใช้ที่พ่อแม่เก็บเริ่มส่งผลอันตรายต่อสุขภาพกายใจ ควรพาพ่อแม่ไปพบจิตแพทย์นะคะ เพราะพ่อแม่เราอาจจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก็บสะสมของ (Hoarding Disorder)
![](https://www.bangkoklife.com/emagazinehappylife//Picture/GetIssuePicture/?img=Uploads/Content/2020/681C4D6FF8C242C89D0A52F993702DB0..jpg)
สำหรับบ้านที่มีลูกวัย 0-6 ปี พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า วัยนี้เป็นวัยที่ต้องการความสนใจและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่ เด็กวัยนี้กำลังทดสอบร่างกายของพวกเขาว่า สามารถทำอะไรได้บ้าง คงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะวิ่งไม่หยุด เล่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นเราควรหาเวลาเลี้ยงลูกและสอนเขาด้วยตัวเองให้มากที่สุด เพื่อไม่สร้างภาระให้กับพ่อแม่ของเราที่ร่างกายอาจจะไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป และสร้างปัญหาให้กับลูกเราเองในอนาคต
สำหรับบ้านที่มีลูกวัยรุ่น พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า ลูกอยู่ในวัยที่กำลังต้องการเป็นที่ยอมรับจากสังคม คือ เพื่อน ๆ ของเขา หากเขาพูดกับเราน้อยลง และไม่อยากทำกิจกรรมกับเราเหมือนแต่ก่อน อย่าได้น้อยใจไป ถ้าสายสัมพันธ์ดีเขาจะกลับมาหาเราเอง ที่สำคัญวัยนี้เขาต้องการผู้รับฟัง มากกว่าผู้สอนสั่ง ลูกเลยวัยที่พ่อแม่จะสั่งให้ทำทุกอย่างแล้ว เขาควรเรียนรู้และแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเขาเอง พ่อแม่มีหน้าที่แนะนำ เป็นเพื่อน คอยให้การสนับสนุน
![](https://www.bangkoklife.com/emagazinehappylife//Picture/GetIssuePicture/?img=Uploads/Content/2020/D400D81EC6644F13B5B64A32BD54688F..jpg)
เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
กติกาที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว คือ “กฏ 3 ข้อ” ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำลายข้าวของ ในการอยู่ร่วมกันเราไม่ควรทำร้ายกันทั้งทางกาย วาจา และใจ สำหรับการทำร้ายคนในครอบครัวมักจะเผลอกระทำออกไปได้ง่ายที่สุด คือ การทำร้ายกันทางวาจา เช่น “รำคาญ” “ภาระ” “โง่” “ไม่ได้เรื่อง” “ชอบหาเรื่องเข้าบ้านอยู่ได้” เป็นต้น คำพูดเหล่านี้ไม่ว่าจะพูดกับพ่อแม่ หรือ ลูกของเรา ก็สามารถสร้างแผลใจให้กับผู้ฟังได้ทั้งนั้น ตัวเราเองก็คงไม่อยากให้ใครมาพูดกับเราเช่นนั้นเหมือนกัน
อย่ากลัวที่จะแสดงความรักต่อกัน
พ่อแม่อายุมากแล้ว อย่าเสียเวลาคิดมาก อยากทำอะไรก็ทำเถอะ จะกอด จะบอกรัก จะหอม จะพาไปสระผม จะพาไปกินข้าว จะจูงมือ ทำเถอะ เพราะถ้าไม่ได้ทำจะเสียดายไปทั้งชีวิต
ลูกของเรา เขาก็ไม่ได้เป็นเด็กไปตลอดชีวิต ช่วงเวลาที่เขาต้องการเรามากที่สุดก็แค่ 6 ปีแรกในชีวิต หลังจากนั้นเพื่อนจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขาแล้ว ดังนั้นบอกรัก กอด เล่านิทาน เล่นกับเขาให้เต็มที่ในช่วงสำคัญนี้
ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
“พ่อแม่วัยเกษียณ” ควรทำหน้าที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลาน ไม่สร้างเรื่องราวให้ลูกหลานเดือดร้อนใจ
“ตัวเราในฐานะลูก” ควรทำงานที่เลือกอย่างเต็มที่ แต่ไม่ลืมที่จะดูแลร่างกายและจิตใจของตนเองและคนในบ้าน
“ลูกหลาน” ควรเรียนรู้การช่วยเหลือตัวเอง และรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวัยของเขา
อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ
บางครั้งเวลาที่ครอบครัวของเรามีปัญหา ตัวเราเองอาจจะไม่พร้อมที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหานั้น หรือ เราไม่สามารถช่วยเขาแก้ปัญหาได้ ทางที่ดีที่สุด คือ การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เช่น คนที่เราไว้ใจ หรือ การไปพบจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา เป็นต้น
![](https://www.bangkoklife.com/emagazinehappylife//Picture/GetIssuePicture/?img=Uploads/Content/2020/31CFF18F6CEF4102853B7A8FA1BE633A..jpg)
ถ้าเทียบพ่อแม่วัยเกษียณกับลูกเรา พ่อแม่กำลังจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่ได้หมายถึงผิวกายกับสีผม แต่หมายถึงสมรรถภาพทางกาย เขาจะค่อยๆ เคลื่อนไหวได้ช้าลง ปวดเมื่อยง่ายขึ้น บางคนมียาที่ต้องกินสารพัด แค่ฟังชื่อยา และจำวันที่หมอนัด เรายังรำคาญเอง ไม่ต้องถามถึงเจ้าตัว เขารำคาญมากกว่าเราหลายเท่า
ในทางกลับกัน พ่อแม่วัยเกษียณกลับเป็นวัยที่ต้องการการมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนทำ และสิ่งที่ตนเป็นจากลูกหลาน ดังนั้นถ้าหากเราบอกให้เขาอยู่เฉย ๆ อย่าทำอะไรมาก เขาจะรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ๆ แต่ถ้าเราบอกให้เขาช่วยทำนู่นทำนี่ให้หน่อย หรือ ชวนเขามาช่วยงาน ออกความเห็นอะไรบ้าง เขาจะรู้สึกดี กระปรี้กระเปร่าทันใด เพราะตัวเขาเป็นที่ต้องการของลูกหลาน ทำให้เขาได้รับการมองเห็นคุณค่านั่นเอง
สิ่งที่ลูก ๆ ควรทำความเข้าใจพ่อแม่วัยเกษียณ มีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ ๆ ประกอบด้วย
ร่างกายของพ่อแม่เราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ความจำเลอะเลือน” ถามเรื่องซ้ำ ๆ เล่าเรื่องเดิม ๆ
“หูพาลหาเรื่อง” อาการหูตึงที่ทำให้สื่อสารกันไม่รู้เรื่องสักทีกับลูกหลาน
“กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง กระดูกเริ่มพรุน” พาลให้เดินเหินไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม เคลื่อนไหวทีก็ปวดเมื่อยตามตัวไปหมด ซ้ำร้ายยังต้องเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าเดิมอีก
เมื่อร่างกายไม่เหมือนเดิม อิสระที่เคยได้รับก็ถูกจำกัดลง เนื่องจากต้องพึ่งพาคนอื่นมากขึ้น พ่อแม่วัยเกษียณจึงรู้สึกแย่กับตัวเอง และมองว่าตัวเองเป็นภาระได้ง่ายมาก จิตใจจึงได้รับผลกระทบตามมา ลูก ๆ อย่างเราสามารถช่วยพ่อแม่ได้ด้วยการรับฟัง และไม่โกรธเมื่อพ่อแม่ถามหรือเล่าเรื่องเดิม ๆ ให้เราฟัง
พ่อแม่เราจะยึดติดกับข้าวของเครื่องใช้มากขึ้น และกลัวการเปลี่ยนแปลง
ข้าวของเครื่องใช้เก่า ๆ ก็คงเหมือนกับคน ๆ หนึ่งที่ผ่านชีวิตมาพร้อมกันกับเขา ที่สำคัญบ้านที่มีข้าวของเครื่องใช้จากยุคสมัยที่เขาเคยอยู่ ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีพื้นที่ที่เขาอบอุ่นใจและปลอดภัย ดังนั้น ค่อยๆ คุยกับเขา อย่าหักดิบโดยเอาไปทิ้งเลย พ่อแม่อาจใจสลายได้ ให้เขาได้มาเลือก ถ้าอันไหนเกินเยียวยา ถ่ายรูปแล้วอัดเป็นอัลบั้มให้เขาไว้ดูคลายความคิดถึง แต่ถ้าอันไหนทิ้งไม่ได้จริง ๆ ลูกก็ต้องยอมรับให้ได้
ถ้าลูกคนไหนอยู่บ้านพ่อแม่ เราควรเคารพในการตัดสินใจและแนวทางในการจัดบ้านของพ่อแม่ แต่ถ้าลูกคนไหนพาพ่อแม่มาอยู่ด้วย เราสามารถกำหนดกติการ่วมกัน พ่อแม่สามารถนำของแบบไหนมาเก็บได้บ้าง และห้องของพ่อแม่ แต่ในกรณีที่ข้าวของเครื่องใช้ที่พ่อแม่เก็บเริ่มส่งผลอันตรายต่อสุขภาพกายใจ ควรพาพ่อแม่ไปพบจิตแพทย์นะคะ เพราะพ่อแม่เราอาจจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก็บสะสมของ (Hoarding Disorder)
![](https://www.bangkoklife.com/emagazinehappylife//Picture/GetIssuePicture/?img=Uploads/Content/2020/681C4D6FF8C242C89D0A52F993702DB0..jpg)
สำหรับบ้านที่มีลูกวัย 0-6 ปี พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า วัยนี้เป็นวัยที่ต้องการความสนใจและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่ เด็กวัยนี้กำลังทดสอบร่างกายของพวกเขาว่า สามารถทำอะไรได้บ้าง คงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะวิ่งไม่หยุด เล่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นเราควรหาเวลาเลี้ยงลูกและสอนเขาด้วยตัวเองให้มากที่สุด เพื่อไม่สร้างภาระให้กับพ่อแม่ของเราที่ร่างกายอาจจะไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป และสร้างปัญหาให้กับลูกเราเองในอนาคต
สำหรับบ้านที่มีลูกวัยรุ่น พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า ลูกอยู่ในวัยที่กำลังต้องการเป็นที่ยอมรับจากสังคม คือ เพื่อน ๆ ของเขา หากเขาพูดกับเราน้อยลง และไม่อยากทำกิจกรรมกับเราเหมือนแต่ก่อน อย่าได้น้อยใจไป ถ้าสายสัมพันธ์ดีเขาจะกลับมาหาเราเอง ที่สำคัญวัยนี้เขาต้องการผู้รับฟัง มากกว่าผู้สอนสั่ง ลูกเลยวัยที่พ่อแม่จะสั่งให้ทำทุกอย่างแล้ว เขาควรเรียนรู้และแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเขาเอง พ่อแม่มีหน้าที่แนะนำ เป็นเพื่อน คอยให้การสนับสนุน
![](https://www.bangkoklife.com/emagazinehappylife//Picture/GetIssuePicture/?img=Uploads/Content/2020/D400D81EC6644F13B5B64A32BD54688F..jpg)
เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
กติกาที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว คือ “กฏ 3 ข้อ” ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำลายข้าวของ ในการอยู่ร่วมกันเราไม่ควรทำร้ายกันทั้งทางกาย วาจา และใจ สำหรับการทำร้ายคนในครอบครัวมักจะเผลอกระทำออกไปได้ง่ายที่สุด คือ การทำร้ายกันทางวาจา เช่น “รำคาญ” “ภาระ” “โง่” “ไม่ได้เรื่อง” “ชอบหาเรื่องเข้าบ้านอยู่ได้” เป็นต้น คำพูดเหล่านี้ไม่ว่าจะพูดกับพ่อแม่ หรือ ลูกของเรา ก็สามารถสร้างแผลใจให้กับผู้ฟังได้ทั้งนั้น ตัวเราเองก็คงไม่อยากให้ใครมาพูดกับเราเช่นนั้นเหมือนกัน
อย่ากลัวที่จะแสดงความรักต่อกัน
พ่อแม่อายุมากแล้ว อย่าเสียเวลาคิดมาก อยากทำอะไรก็ทำเถอะ จะกอด จะบอกรัก จะหอม จะพาไปสระผม จะพาไปกินข้าว จะจูงมือ ทำเถอะ เพราะถ้าไม่ได้ทำจะเสียดายไปทั้งชีวิต
ลูกของเรา เขาก็ไม่ได้เป็นเด็กไปตลอดชีวิต ช่วงเวลาที่เขาต้องการเรามากที่สุดก็แค่ 6 ปีแรกในชีวิต หลังจากนั้นเพื่อนจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขาแล้ว ดังนั้นบอกรัก กอด เล่านิทาน เล่นกับเขาให้เต็มที่ในช่วงสำคัญนี้
ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
“พ่อแม่วัยเกษียณ” ควรทำหน้าที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลาน ไม่สร้างเรื่องราวให้ลูกหลานเดือดร้อนใจ
“ตัวเราในฐานะลูก” ควรทำงานที่เลือกอย่างเต็มที่ แต่ไม่ลืมที่จะดูแลร่างกายและจิตใจของตนเองและคนในบ้าน
“ลูกหลาน” ควรเรียนรู้การช่วยเหลือตัวเอง และรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวัยของเขา
อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ
บางครั้งเวลาที่ครอบครัวของเรามีปัญหา ตัวเราเองอาจจะไม่พร้อมที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหานั้น หรือ เราไม่สามารถช่วยเขาแก้ปัญหาได้ ทางที่ดีที่สุด คือ การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เช่น คนที่เราไว้ใจ หรือ การไปพบจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา เป็นต้น
![](https://www.bangkoklife.com/emagazinehappylife//Picture/GetIssuePicture/?img=Uploads/Content/2020/834971E62DA641DBB171AE3491FAE162..jpg)
CONTRIBUTOR
![](/emagazinehappylife/Picture/GetIssuePicture/?img=Uploads/Author/family_in_love_writer.jpg)