ในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อนๆ ได้ตรวจสุขภาพกันบ้างแล้วรึยังครับ?

การหมั่นตรวจสุขภาพร่างกายทำให้สามารถพบสิ่งผิดปกติได้ไวและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงรักษาได้ทันท่วงที ทำให้ร่างกายใช้งานได้ดีไปยาว ๆ สุขภาพการเงินเองก็เป็นเรื่องสำคัญ พี่บีและน้องไมอะขอนำ 5 วิธี ตรวจเช็กสุขภาพทางการเงิน มาฝากกันครับ

1. เทียบทรัพย์สิน กับหนี้สิน

คำถามแรกคือ...ทุกวันนี้คุณมีความมั่งคั่งหรือเปล่า?

หากยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจ ได้เวลามาประเมินฐานะการเงินของเรากันแล้วครับ โดยใช้สูตรดังนี้

ความมั่งคั่งสุทธิ = สินทรัพย์ทั้งหมดที่มี - หนี้สิน

ดูง่ายๆ หากตัวเลขออกมาเป็นลบ แสดงว่ามีหนี้มากกว่าสินทรัพย์ ควรเร่งปรับพฤติกรรมการใช้เงิน

2. บันทึกรายรับ-รายจ่ายประจำวัน

เป็นการตรวจพฤติกรรมทางการเงินของตัวเอง ณ ปัจจุบัน ทำให้เรารู้ว่า ในแต่ละวัน แต่ละเดือน เงินเข้าเงินออกมากน้อยแค่ไหน ทำให้สามารถของเห็นจุดรั่วไหลที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยเฉพาะรายจ่ายที่ไม่จำเป็นที่เกิดขึ้นเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น ช้อปปิ้งของจุกจิก หรือค่าขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม กาแฟ ค่าเดินทาง และหาทางปรับเปลี่ยน ลดการใช้จ่าย เพื่ออุดรูรั่วที่เกิดขึ้น

ถือเป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้วางแผนหรือปรับแผนการเงินได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น

3. ทุกวันนี้ มีรายได้มากกว่ารายจ่ายหรือไม่?

ค่าใช้จ่ายที่เรามีอยู่ทุกเดือน เรายืมเงินในอนาคตมาจ่ายอยู่หรือเปล่า? บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด เงินผ่อน สินเชื่อ ต่างๆ นานา หากหมุนทัน ใช้จ่ายคล่องมือก็นับว่าโชคดีไป แต่ในระยะยาว...หากเป็นเช่นนี้ สถานะทางการเงินคงจะหาความมั่นคงได้ยาก

ทางแก้...สามารถเลือกได้ 2 ทาง คือ หาวิธีลดค่าใช้จ่าย (กลับไปเช็กบันทึกรายรับรายจ่าย) หรือเพิ่มช่องทางหารายได้ให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแบบ active income หรือ passive income

ตัวอย่างของ active income อาจเริ่มจากการดูว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหน และแบ่งเวลาหารายได้เสริม เช่น ขับรถรถรับ-ส่งนอกเวลางาน ขายของออนไลน์ วาดรูป ฯลฯ และในส่วนของ passive income สามารถคิดง่าย ๆ ว่าเป็นการลงทุนให้เงินทำงาน โดยรับผลตอบแทนเป็น ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า เป็นต้น โดยอาจเริ่มทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ขยับขยายตามกำลังความสามารถของตนเอง

4. มีเงินเหลือเก็บบ้างรึเปล่า?

หลายๆ คนใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แต่ไม่คิดถึงอนาคตสักเท่าไร การที่มีเงินใช้ไม่ขาดมือในวันนี้ ไม่ได้การันตีว่าวันข้างหน้าเราจะยังมีความสามารถในการหาเงินแบบเดิมอยู่...ดังนั้น นอกจากเงินที่ใช้ประจำวันแล้ว ควรมีเงินออม เพื่อเป้าหมายต่างๆ ในชีวิต และเงินสำรอง เพื่อดึงมาใช้ในยามฉุกเฉินต่างๆ

เงินทั้งสองส่วนนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินสดในบัญชีเท่านั้น แต่สามารถกระจายอยู่ในรูปแบบต่างๆ หรือลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน

5. มีเงินออมแล้ว จะบริหารอย่างไร ให้ทรัพย์สินที่มีเพิ่มพูนขึ้น?

หลายๆ คนคงนึกถึงการลงทุน แน่นอนว่าการลงทุนเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้ได้สูงขึ้น แต่ทั้งนี้ก็มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสภาวะตลาด อัตราการแลกเปลี่ยน ความรู้ความสามารถของผู้ลงทุน ฯลฯ

สิ่งแรกคือการตั้งเป้าหมายและพิจารณาระยะเวลาที่ต้องการให้เป้าหมายนั้นบรรลุผล เช่น การสร้างเงินออมสำหรับเป็นค่าเล่าเรียนลูก หรือเงินใช้จ่ายยามเกษียณ เป้าหมายแต่ละอย่างใช้จำนวนเงินทุนไม่เท่ากัน รวมถึง ความเสี่ยงที่รับได้ก็ไม่เท่ากันเช่นกัน ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การเลือกผลตอบแทนที่มีทั้งส่วนที่การันตี และส่วนที่เป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น

ประกันสะสมทรัพย์ชนิดมีเงินปันผล “บีแอลเอ แฮปปี้เซฟวิ่ง 18/10 (มีเงินปันผล)” และ “บีแอลเอ แฮปปี้เซฟวิ่ง 14/7 (มีเงินปันผล)” ช่วยตอบโจทย์ความต้องการทั้งในด้านความคุ้มครองชีวิต การันตีเงินต้นไม่หาย พร้อมรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำและโอกาสรับเงินปันผลเพิ่มเติมจากการลงทุน

สุดท้ายนี้ อย่าลืมตรวจสุขภาพการเงินของตัวเอง อย่างน้อยปีละครั้งนะครับ เพราะหากปล่อยเอาไว้จนสาย เราอาจจะกลายเป็น 'ผู้ป่วยทางการเงิน' โดยไม่รู้ตัว